Part of speech - คำชนิดต่าง ๆ

Parts of Speech หมายถึง ประเภทของส่วนต่างๆ ของ คำพูดแต่ถ้าจะแปลให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็แปลได้ว่า คำชนิดต่างๆ ที่จะบอกเราว่าแต่ละคำนั้นมีหน้าที่ทำอะไรในประโยชคซึ่งนำมาร้อยเรียงเป็นวลี เป็นประโยค ที่นำไปใช้สนทนาเป็นเรื่องเป็นราว หรือนำไปแต่งหนังสือเป็นเล่มหนาๆ  ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดที่เข้าใจกันทั่วๆ มี 8 ชนิด ได้แก่ Noun - คำนาม Pronoun - คำสรรพนาม Verb - คำกริยา Adverb - คำกริยาวิเศษณ์ Adjective - คำคุณศัพท์ Preposition - คำบุพบท Conjunction - คำสันธาน Interjection - คำอุทาน

เรามาเริ่มเรียนรู้กันนะคะ


Noun  คำนาม คือ คำที่ใช้แทน คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความรู้สึก  แบ่งออกได้  5  ชนิดคือ

          1.  Common Noun  สามานยนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อไม่ชี้เฉพาะของ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  เช่น   man,  dog,  pen,  school ….

          2.  Proper  Noun  วิสามานยนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  และจะต้องเขียนด้วยตัวใหญ่เสมอ  เช่น   Ladda,  Dang,  Diccky,  Toyota,  Thailand 

          3. Collective  Noun  สมุหนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะกลุ่มฝูงเป็นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็นคำผสมที่ครั่นด้วย of เสมอ  และสมุหนามนี้ต้องถือว่าเป็นนามพหูพจน์ตลอดไป  ดังนั้นกิริยาจึงต้องใช้ให้เป็นพหูพจน์ด้วย (อนึ่งบางคำอาจเป็นคำคำเดียวก็ได้ไม่จำเป็นต้องมี of  และถ้าสมุหนามนี้มาทำหน้าที่เป็นประธานแล้วหมายถึงหน่วยเดียวก็ใช้กิริยาเป็นเอกพจน์  แต่ถ้าหมายถึงแยกเป็นแต่ละบุคคลที่มีอยู่หลายคน ถือว่าสมุหนามนั้นเป็นพหูพจน์  ต้องใช้กิริยาให้เป็นพหูพจน์ด้วย)

           4.  Material  Noun  วัตถุนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของเนื้อวัตถุ  ซึ่งส่วนมากก็ได้แก่นามที่เป็นของเหลวแร่ธาตุ,โลหะ แต่นามบางชนิดเมื่อยังไม่แยกก็จัดเป็น  common Noun   แต่เมื่อแยกแล้วจะมาเป็น   Material Noun   เช่น   cow,  ox, วัวมาแบ่งเป็น  beef   เนื้อวัว                

            5.  Abstract  Noun   อาการนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของลักษณะสภาวะ,  และการกระทำ  นามจำพวกนี้ไม่มีตัวตน  เป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้น มีสำเนียงแปลว่า การ หรือ ความ  ขึ้นต้น เช่น happiness  ความสุข,  Slavery  ความเป็นทาส ,  eating  การกิน เป็นต้น   

      

วิธีใช้

               นามทั้ง   5   ชนิดที่กล่าวมานั้น เวลานำไปพูดหรือเขียน สามารถทำหน้าที่ได้  7  อย่างคือ

1.    เป็น Subject  ของกิริยาในประโยคได้.

2.    เป็น Object   ของกิริยาในประโยคได้.

3.    เป็น Object  ของ    Preposition    (บุรพบทได้.

4.    เป็น Complement คือส่วนสมบูรณ์ของกิริยาได้.

5.    เป็น  Appositive  คือเป็นนามซ้อนนามได้.

6.    เป็น Address  คือเป็นนามเรียกขานได้(และต้องใส่  , Comma ด้วย).

7.    เป็น Possessive คือเป็นนามแสดงความเป็นเจ้าของได้ (และต้องใส่ Apostrophe’s ด้วย)




Pronoun คำสรรพนาม คือคำที่ใช้แทนคำนาม แบ่งออกได้ 8 ชนิดคือ

       1.  Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม

2.    Possessive  Pronoun  สามีสรรพนาม

3.    Definite   Pronoun  นิยมสรรพนาม

4.    Indefinite  Pronoun  อนิยมสรรพนาม

5.    Interrogative  Pronoun   ปฤจฉาสรรพนาม

6.    Relative  Pronoun  ประพันธ์สรรพนาม

7.    Reflexive  Pronoun  สรรพนามสะท้อนหรือเน้น

8.    Distributive Pronoun  วิภาคสรรพนาม

                1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนชื่อของผู้พูดผู้ฟังและผู้ที่ถูกกล่าวถึง  ซึ่งมีอยู่ 2  พจน์  3  บุรุษ คือ

 

 

เอกพจน์

พหูพจน์

บุรุษที่     1

I

we

บุรุษที่     2

you

you

บุรุษที่     3

he,   she,    it

the

 

 

Personal   Pronoun   แบ่งได้  5  รูป คือ

รูปที่  1

รูปที่ 2

รูปที่ 3

รูปที่  4

รูปที่ 5

I

Me

My

mine

myself

We

us

Our

ours

ourselves

You

you

Your

yours

yourself

He

him

his

his

himself

she

her

Her

hers

herself

It

It

its

its

itself

they

them

there

theirs

themselves

 

              2.  Possessive Pronoun สามีสรรพนาม   คือสรรพนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือบุรุษสรรพนามรูปที่  4  นั่นเอง  เวลาใช้ไม่ต้องมีนามตามหลัง  มีหน้าที่ 3 อย่างคือ

2.1     เป็นประธานของกิริยาในประโยค  เช่น Your   book  is green,  mine is red.

2.2     เป็นส่วนสมบูรณ์ของกิริยา   เช่น  this  pencil is mine, that one is your.

2.3     ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำเชื่อมคำเพื่อเน้นความเป็นเจ้าของให้ชัดเจนขึ้นได้เช่น  A   friend  of  yours  was  killed  last  night.    

              3.  Definite Pronoun นิยมสรรพนาม  คือสรรพนามที่ชี้เฉพาะและใช้แทนนามได้ ที่นิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6 ตัวคือ  (รวมทั้ง which ด้วย)

                    this,   that,   one      3   ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นเอกพจน์.

                   These,    those,  ones   3    ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นพหูพจน์.

*นิยมสรรพนามนี้ ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของกิริยาในประโยคได้ตามแต่ จะ ใช้งาน.

   4.   Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้นคนนี้โดยตรง  (ตรงข้ามกับ Definite Pronoun)  ได้แก่คำว่า  some,  any,  all,  someone,  somebody,  anybody,  few,  everyone,  many,  nobody,   everybody,  other……etc.

*ข้อสังเกต ทั้งนิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม  ถ้าใช้โดยมีคำนามอื่นตามหลังจะกลายเป็นคำคุณศัพท์ไป  แต่ถ้าใช้โดยไม่มีคำนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม.

            5. Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม  คือสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม  และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็นปฤจฉาสรรพนาม  ได้แก่    Who  ,  whom,  whose  ,  what,  which     ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้.

            ·  Who   (ใคร)   ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นประธานของกิริยาในประโยคได้ บางครั้งก็เป็นกรรมได้ เช่น.   Who   is  standing   there  ? ใครกำลังยืนอยู่ที่นั่น?.

·         Whom  (ใคร)  ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นกรรมของกิริยาหรือบุรพบท  (บางครั้งใช้ Who แทน).เช่น Whom  do  you  love ?  คุณรักใคร ?.

·         Whose  (ของใคร)  ใช้ถามถึงเจ้าของ  และต้องเป็นบุคคลเท่านั้น เช่น.  Whose  is  the  car ?  รถคันนี้เป็นของใคร

                 ·    What (อะไร)   ใช้ถามถึงสิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม  เช่น:-

                       -  ถ้าเป็นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทั้งสิ้น เช่น What  delayed  you ?  

                          อะไรทำให้คุณล่าช้า.

-  ถ้าเป็นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอื่นมาร่วมด้วย และวางไว้หลัง What เช่น What  

    do you want ?

                 ·   Which  (สิ่งไหน อันไหน)  ใช้ถามถึงสัตว์สิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น  ถ้าเป็นประธานไม่ต้องใช้กริยาอื่นมาช่วย  Which  is  the  best?  อันไหนดีที่สุด ?.(อนึ่งปฤจฉาสรรพนาม Whose ,which,  what นี้  ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังก็เป็นคุณศัพท์ไป   ถ้าไม่มีนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นปฤจฉาสรรพนาม)   

              6. Relative  Pronoun   ประพันธ์สรรพนาม  คือสรรพนามที่ใช้แทนที่อยู่ข้างหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ซึ่งอาจเป็นประธานของประโยคหลังได้ด้วย  ได้แก่ Who,  Whom,   Whose, Which,  Where,  what,  when, why,  that .

·         Who  (ผู้ซึ่ง)  ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำด้วย เช่น    The  man  who  came  here  last  week  is  my  cousin.  ชายผู้ซึ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน.

·         Whom  (ผู้ซึ่ง)  ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นต้องเป็นผู้ถูกกระทำด้วย เช่น The  boy  whom  you  saw  yesterday  is  my  brother. เด็กชายผู้ซึ่งคุณพบเมื่อวานนี้เป็นน้องชายของผม.

·         Whose (ผู้ซึ่ง…..ของเขา)   ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนามที่ตามหลัง ดังนั้นเมื่อมี Whose ก็ต้องมีนามตามหลัง Whose เสมอ  เช่น  The  girl  whose  father  is  a  teacher  goes  to  school  every  day.   เด็กหญิงผู้ซึ่งพ่อของเขาเป็นครูนั้นไปโรงเรียนทุกวัน.(เป็นคำแสดง ความ เป็นเจ้าของ Father).

 ·    Which  (ที่,ซึ่ง)  ใช้แทนนามที่เป็นสัตว์ สิ่งของ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม   The  animal            which  has  wing  is  a  bird.  สัตว์ที่มีปีกนั้นคือนก(เป็นประธานของอนุประโยค  has  wings) The  kitten  which  I  gave  to  my  aunt  is  very  naughty.  ลูกแมวซึ่งฉันให้แก่คุณป้าของฉันไปนั้นซุกซนมาก.(เป็นกรรมของกริยา  gave  ในอนุประโยค  I gave  to  my  aunt).

·         Where  (อันเป็นที่)  ใช้แทนนามที่เป็นสถานที่ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น  The  night  club is  the  place  where  is  not  suitable  for children. ไนท์คลับเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ(เป็นประธานของอนุประโยค is  not  suitable  for  children )  The  hotel  is  the  place  where  I  like  best .  โรงแรมเป็นสถานที่ที่ผมชอบมากที่สุด.(เป็นกรรมของ like).

·         What  (อะไร,สิ่งที่)  ใช้แทนนามที่เป็นสิ่งของ นามที่ What ไปแทนทำหน้าที่เป็นประพันธ์สรรพนามนั้นไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่างหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอื่น ทั้งนี้เพราะถูกละไว้ในฐานะที่เข้าใจแล้ว เช่น I  know  what  is  in  the  box.  ฉันรู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนี้.

·         When  (เมื่อ,ที่)  ใช้แทนนามที่เกี่ยวกับเวลา ,วัน,  เดือน,ปี  เช่น  Sunday  is  the  day  when  we  don’t  work.  วันอาทิตย์คือวันที่เราไม่ทำงาน.

·         Why  (ทำไม)   ใช้แทนนามที่เป็นเหตุผล  (ส่วนมากใช้แทน reason ) เช่น This  is  the  reason  why  I  go  to  Hong  Kong. นี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมจึงไปฮ่องกง

                       ·   That  (ที่,ซึ่ง)   ใช้แทนคนสัตว์สิ่งของและสถานที่ได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ 4  ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง  อันได้แก่  :-

      1.   เป็นนามที่มีคุณสมบัติสูงสุดมาขยายอยู่ข้างหลัง เช่น  He is the tallest  man  that  I   have  ever seen. เขาเป็นคนสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา.   

     2.  เป็นนามที่มีเลขจำนวนนับที่มาขยายอยู่ข้างหน้า  เช่น China  is  the  first  country  that  I am  going  to  visit. จีนเป็นประเทศแรกที่ข้าพเจ้าจะไปเที่ยว.

     3.  เป็นนามที่มีคุณศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น She has much money  that  she  give  me.  หล่อนมีเงินอยู่มากที่หล่อนจะให้ผม

             4.  เป็นสรรพนามผสมต่อไปนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่แล้ว คือ someone,  somebody,  something,  anyone,  anything,  anybody,  anyone,  everything,  no  one,  nothing,  etc.  เช่น    There  is  nothing that  I can  do  for  you.   ไม่มีอะไรที่ผมจะช่วยคุณได้.

            7.  Reflexive   Pronoun   สรรพนามสะท้อนหรือเน้น  ได้แก่บุรุษสรรพนามที่ 5  นั่นเอง  อันได้แก่   myself,  yourself,  ……. Themselves.   เวลาใช้มีวิธีใช้  4  อย่างคือ  :-

            1.  เรียงไว้หลังประธาน  เมื่อต้องการเน้นว่าประธานเป็นผู้กระทำกิจนั้นด้วยตนเอง เช่น  I   myself  study  English.   ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง.

  2. เรียงไว้หลังกริยา เมื่อบอกว่าผลการกระทำนั้นเกิดจากผู้กระทำเองเช่น   I  will  punish  myself  if  I do  mistakes  ผมจะลงโทษตัวเอง  หากผมทำผิด

  3. เรียงไว้หลังกรรม  เมื่อต้องการเน้นกรรมนั้นเช่น   I   spoke   to  the  President   himself .  ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง.

 4. เรียงไว้หลังบุรพบท by วางไว้สุดประโยคทุกครั้งไป เมื่อต้องการแสดงว่าประธานผู้นั้นกระทำกิจนั้นโดยลำพังคนเดียว เช่น   Pranee makes her dress by herself.

        8.  Distributive   Pronoun    วิภาคสรรพนาม   คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามในการแบ่งหรือจำแนกออกเป็นครึ่งหนึ่งสิ่งหนึ่งหรือตัวหนึ่ง  วิภาคสรรพนามที่นิยมใช้กันมากคือ

each   แต่ละ,  either   คนใดคนหนึ่ง,   neither  ไม่ใช่ทั้งสอง  หรือไม่ใช่ทั้งสอง  เช่น

  There  are  ten  boy each   has  one  hundred  bath.   มีเด็กอยู่ 10  คน  แต่ละคนมีเงินอยู่คนละ  100  บาท.

*   ข้อสังเกต   วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็นสรรพนาม  แต่ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังจะเป็นคุณศัพท์     

                      

Article

                 Article   คือ คำที่ใช้นำหน้านาม    คือคำนามในภาษาอังกฤษทุกตัว เวลาพูด-เขียนจะต้องมี Article นำหน้าทั้งสิ้น(ยกเว้นบางตัวที่จะกล่าวต่อไป

                   Article  มีอยู่ 2 ชนิดคือ

          1.   Indefinite Article คือคำนำหน้านามแล้วมีความหมายทั่วไป  อันได้แก่  A  , An.

          2.   Definite Article คือคำนำหน้านามแล้วมีความหมายชี้เฉพาะ  ได้แก่  The .

                                 

หลักทั่วไปของการใช้   A

                  คือเมื่อ  A  นำหน้านามใดนามนั้นต้องมีลักษณะครบ  4  ประการ อันได้แก่

1.    เป็นนามเอกพจน์

2.    เป็นนามนับได้

3.    เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ

4.    เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป เช่น a book, a man, a bus, a pen

*  ข้อยกเว้น  ห้ามใช้  A นำหน้า  คือนามบางตัวที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ  แต่อ่านออกเสียงสระที่อยู่ถัดไป  นามตัวนั้นให้ใช้  AN  นำหน้าแทน  (มี   H  เท่านั้น)

หลักทั่วไปของการใช้  AN

     คือเมื่อ  AN  นำหน้านามใด  นามนั้นจะต้องมีลักษณะครบ 4  ประการ คือ

                                                 1.    เป็นนามเอกพจน์

2.    เป็นนามนับได้

3.    เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ คือ    A ,  E ,  I ,  O ,  U.

4.    เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป

               *  ข้อยกเว้น   ห้ามใช้   AN  นำหน้าคือ  นามบางตัวที่ขึ้นต้นด้วยสระ  แต่อ่านออกเสียงเป็นพยัญชนะ”  นามตัวนั้นให้ใช้  A  นำหน้าแทน  (มี   U  และ  E  เท่านั้น).

           นามต่อไปนี้ห้ามใช้ทั้ง A  และ AN  นำหน้าเด็ดขาด

1.  นามที่นับไม่ได้ทุกชนิด

2.  นามพหูพจน์ทุกชนิด

                      

หลักทั่วไปของการใช้  THE

          คำว่า The แปลว่า นั้น,นี้ คือเป็นการชี้เฉพาะถึงสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว   ซึ่ง The ใช้นำหน้านามได้ทุกชนิด ทุกประเภท  นั่นคือ

                                  1.   เป็นนามเอกพจน์   ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                  2.    เป็นนามพหูพจน์   ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                      3.    เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ  ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                   4.    เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ    ก็ใช้  The  นำหน้าได้ (แต่ให้อ่านว่า ดิ )

                                      5.    เป็นนามที่นับได้  ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                        6.   เป็นนามที่นับไม่ได้  ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                             7.   แต่นามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะต้องมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจงเท่านั้น เช่น.

            The water in the bottle is very poor. น้ำที่อยู่ในขวดนี้เย็นมาก.

            นามต่อไปนี้ห้ามใช้ the  นำหน้า

                                    1.   นามที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ

                                    2.   นามที่ระบุไว้ในหัวข้อว่าห้ามใช้  the  นำหน้า (ซึ่งมีข้อห้ามมากมายแต่จะไม่กล่าวถึง เช่น อาการนาม,ชื่อเฉพาะของคน,ชื่อถนน ,ชื่อวัน, เดือน, ปี, ลัทธิ,ศาสนา เป็นต้นซึ่ง ห้ามใช้ ทั้ง a, an,และthe นำหน้า)

     * อนึ่งแม้ลักษณะของประโยคจะไม่มีคำบ่งชี้เฉพาะเอาไว้  แต่ถ้านามนั้นเป็นที่รู้จักกันดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง  ก็ให้ใช้ the  นำหน้าได้ เช่น

When you go out, don’t forget to close a door. เมื่อคุณออกไปข้างนอก อย่าลืมปิดประตู(บานไหนก็ได้)นะ.

When you go out, don’t forget to close the door. เมื่อคุณไปข้างนอก อย่าลืมปิดประตู(บานนั้น)นะ.

การใช้  a, an, the แบบระคน

-       ถ้านามนั้นไม่มีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมาขยายอยู่ข้างหลังให้ใช้    a,  an   ทันที เช่น

A boy like to see monkey. เด็กชอบดูลิง.

-       ถ้านามนั้นมีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมา ขยายอยู่ข้างหลัง ให้ใช้    the   ทันที เช่น

The man in this room is our teacher. ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็นครูของเรา.

           * มีหลักพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ  นามใดก็ตามที่เป็นเอกพจน์นับได้  ที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ ให้เติม a  , an  ทันที  แต่ถ้านามนั้นถูกยกขึ้นมากล่าวอีกเป็นครั้งที่   2  ให้เติม   the   ทันทีเช่น

   A black cat, the cat is fat. แมวตัวหนึ่งสีดำ แมวตัวนั้นอ้วน

*   อนึ่งยังมีรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับคำนามบางตัวว่านามตัวใดใช้เฉพาะ a, an และนามตัวใดใช้เฉพาะ the   ซึ่งเป็นคำนามพิเศษ แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง.


3.             Verb คำกริยา คือ คำที่แสดงการกระทำ หรือบอกสภาวะ

Verb คำกริยา

Verb  (กริยา)  คือคำที่แสดงถึงการกระทำหรือถูกกระทำของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธาน(หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยกริยาด้วยก็ได้)  เพื่อบอกถึง  Tense (ช่วงเวลาที่กระทำ) Voice (ผู้พูด)  Mood  (อารมณ์)

Verb  แบ่งออกเป็น  3  ชนิดคือ

1.   สกรรมกริยา  Transitive  Verb   กริยาที่ต้องมีกรรมมารับ.

2.   อกรรมกริยา   Intransitive   Verb   กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ.

                    3.  กริยานุเคราะห์   Auxiliary  Verb  กริยาที่บอก  Tens, Voice, Mood.

  

         1.  สกรรมกริยา  คือกริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์    เช่น   Kick (เตะ), Eat (กิน)   เป็นต้น.

           คำที่นำมาเป็นกรรมของสกรรมกริยาได้ก็คือ

                  1.  นามทุกชนิด   เช่น A  mango.

2   สรรพนาม  เช่น  Him.

3.    กริยาสภาวมาลา(สภาวะที่เกิดอยู่กับชีวิตเช่น  To  study.

4.    กริยาที่เติม  ing  แล้วนำมาใช้เป็นนาม  เช่น  sleeping.

5.    วลีทุกชนิด  เช่น I  don’t  know  what  to  do.

6.    อนุประโยค  เช่น  I  know  who  will  come  tomorrow.

*อนึ่ง  สกรรมกริยาบางตัวหรือบางประโยค ต้องมีตัวขยายกรรมมารับ จึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์   เช่น  The  people   made  him  king. (ประชาชนแต่งตั้งให้เขาเป็นพระราชา)  เป็นต้น.

           2.  อกรรมกริยา  คือกริยาที่มีเนื้อความอยู่ในตัวสมบูรณ์แล้ว  ไม่ต้องมีกรรมมารับ   เช่น Run, sleep, swim, sit.  เป็นต้น  แต่อกรรมกริยาบางตัวก็ต้องมีตัวขยายกิริยาเพื่อให้ประโยคได้ใจความสมบูรณ์  ซึ่งอกรรมกริยานั้นก็ได้แก่ Verb  to  be  (เป็นอยู่คือ) Verb  to  have (เฉพาะแปลว่า มี)  Become  กลายเป็น),  Seem  (ดูเหมือนว่า),   Feel  (รู้สึก)  Look  (ดูเหมือน)  Taste  (มีรส)  Appear  (ปรากฏ,รุสึก)   Smell  (มีกลิ่น) ,  Grow  (เจริญ)  เป็นต้น.

           3.  กริยานุเคราะห์   หรือกริยาช่วย  ได้แก่กริยาที่ไปทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น  เพื่อให้เป็น  Mood,  Voice,  Tense    ซึ่งกริยาเหล่านี้ใช้เป็นกริยาแท้ก็ได้  ใช้เป็นกริยาช่วยก็ได้  มีอยู่ทั้งหมด  24  ตัว  คือ.

                   Is, am,   are,   was,   were

                        Have, has, had, 

                        Do,   dose,  did

                        Will, would

                        Shall,   should

                        Can,   could

                        May,   might

                        Must

                        Need

                Dear

                        Ought  to,   us  to.

*ข้อสังเกตว่าจะเป็นกริยาแท้หรือเป็นกิริยาช่วยก็ให้ดูว่า  ถ้ากริยาตัวใดตัวหนึ่งจาก  24  ตัวนี้อยู่ในประโยคเพียงลำพังไม่มีกริยาอื่นมาร่วมอยู่ด้วย  ก็เป็นกริยาแท้   แต่ถ้ามีกริยาอื่นมาร่วมอยู่ด้วยก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย  เช่น.

Ladda  is  a  beautifily  girl.    (แท้).

Ladda  is  drinking  water.      (ช่วย). 

 

หน้าที่  Verb  to  be

Verb  to  be  ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังนี้

  1.   วางไว้หน้ากริยาที่เติม  Ing   ทำให้ประโยคนั้นเป็น  Continuous  tense.

                  2.    วางไว้หน้ากริยาช่อง  3  (เฉพาะสกรรมกริยาทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก(เอากรรมขึ้นต้นประโยค)  มีสำเนียงว่า  ถูก  เช่น  A glass is broken.    แก้วถูกทำให้แตกเสียแล้ว  เป็นต้น.

                    3.   วางไว้หน้ากริยา สภาวมาลา Infinitive   แปลว่า  จะต้อง  มีความหมายเป็นอนาคต  เพื่อแสดงความจงใจ  เช่น   I am  to  see  my  home  every  year.    ฉันต้องไปเยี่ยมบ้านของฉันทุกๆปี  เป็นต้น.  

 

หน้าที่ของ   Verb  to  do

                               Verb  to   ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังนี้.

                       1.    ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม  ตามหลักที่ว่า

                                                           

                                                          Verb   to   have   ไม่มี

                                                          Verb   to   be     ไม่อยู่

                                                          Verb   to   do      มาช่วย

                       

                        2.    ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธเหมือนกรณีข้อ  1  (เติม ing หลัง  do,  dose )

                         3.   ช่วยหนุนกริยาตัวอื่นเพื่อให้ความสำคัญกับกริยาตัวนั้น  ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น

                               จริงๆ โดยเรียงไว้หน้ากริยาที่มันไปหนุน.

                         4.   ใช้แทนกริยาตัวอื่นในประโยค เพื่อต้องการมิให้กล่าวกริยานั้นๆซ้ำๆซากๆ.

                         5.    Verb  to  do  ถ้านำมาใช้เป็นกริยาแท้แปลว่า  ทำ.  

                        

หน้าที่ของ  Verb  to  have

                      Verb  to  have    ใช้ทำหน้าที่ดังนี้คือ

1.    เรียงไว้หน้ากริยาช่อง 3  ทำให้ประโยคนั้นเป็น  Perfect tense.

2.    ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลาตามหลัง  มีสำเนียงแปลว่า ต้อง  ตลอดไป เช่น

I  have  to  meet  you  tomorrow.   ฉันต้องไปพบท่านวันพรุ่งนี้.

3.    ใช้ในประโยคที่ให้ผู้อื่นทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้  ในกรณีนี้ต้องใช้รูปประโยค    Have  +  noun  +  Verb 3  .  เช่น  He  has  his  house  repaired.  เขาให้ช่างซ่อมแซมบ้านของเขา.

 

หน้าที่ของ  Will,  shall,  would,  should.

               Will    ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล  ใช้กับประธานบุรุษที่  2, 3.

                Shall   ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล  ใช้กับประธานบุรุษที่  1  คือ  I, We.

                     

                            Would   ใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.

1.    ใช้เป็นอดีตของ  will  ในประโยคที่เปลี่ยนจากคำพูดของผู้อื่นมาเป็นของตน

2.    ใช้เป็นกริยาช่วยในสำนวนการพูด “อยากจะ”    “อยากให้”.

3.    ใช้ในสำนวนการพูดว่า” ควรจะดีกว่า”  ควบกับ Better  หรือ  rather  

Should  ใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.

1.    เป็นอดีตของ  Shall  ได้.

2.    Should   เมื่อแปลว่า “ควร”  หรือ “ควรจะ”  ถือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกประธาน

 

หน้าที่ของ  May,  Might

                             May  นำมาช่วยได้ดังนี้.

1.    เพื่อแสดงความมุ่งหมาย (เพื่อ)

2.    เมื่อแสดงความปรารถนา หรืออวยพรให้(ขอให้) *ต้องวางไว้หน้าประโยค.

3.    เพื่อช่วยถึงการอนุญาต  หรือขออนุญาต(ควรจะ)

4.    เพื่อแสดงความคาดคะเน (อาจจะ). 

5.    ช่วยเพื่อแสดงความสงสัย (อาจจะ).

                             Might  นำมาช่วยได้ดังนี้

1.    ใช้เป็นอดีตของ  May.

2.    ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอย่างนั้นจริง(แต่ถ้าแน่ใจใช้ May แทน).

 

Need

Need    ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “จำเป็นต้อง”  ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์ (ส่วนมากใช้เป็นกริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านั้น และกริยาแท้ที่ตามหลัง  Need  ไม่ต้องใช้  To  นำหน้า).

Need   ถ้าเป็นกริยาแท้แปลว่า "ต้องการ" และใช้เหมือนกริยาแท้ทั่วๆไป (ต้องมี  To  ตามหลัง Need ตลอดไป).

Dear

           Dear   ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “กล้า”       ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์     และเป็น     “ปัจจุบันกาล”   คำตามหลังไม่มี   To.                                                                

Ought to

            Ought  to    แปลว่า   “ควรจะ”  เป็นกริยาพิเศษเหมือน is  หรือ  do  นั่นเอง      อาจใช้   should   แทนก็ได้  แต่ความหมายอาจจะอ่อนกว่า.

Used   to

             Used  to    แปลว่า  “เคย”  เป็นกริยาพิเศษหมายความว่า “เคยกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นประจำ แต่บัดนี้ไม่ได้กระทำแล้ว”(กริยาตามหลัง ต้องเป็นกริยาช่อง 1 ตลอดไป  และใช้  used  to   เหมือน   is  หรือ  do).


4.             Adverb คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำทีใช้ขยายคำกริยาว่า ทำเมื่อไหร่ อย่างไร

Adverb กริยาวิเศษณ์

Adverbs   คือคำที่ทำหน้าที่ขยายกริยา,  คุณศัพท์ หรือขยาย Adverbs ด้วยกันก็ได้

         หลักการใช้ Adverbs 

-       ถ้าขยายกริยา ให้เรียงไว้หลังกริยา  เช่น The  old  man  walk slowly.

-       ถ้าขยายคุณศัพท์ ให้เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ เช่น Dang is very strong.

-       ถ้าขยาย Adverbs  ให้เรียงไว้หน้า Adverbs  เช่น  The train runs very fast.

ชนิดของ Adverbs

Adverbs  แบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ๆได้  3  หมวด คือ

              1.  Simple Adverbs   กริยาวิเศษณ์สามัญ  ใช้ขยายกริยาธรรมดานี่เอง แบ่งได้ 6 หมวดคือ

               1. Adverbs    of  time   กริยาวิเศษณ์บอกเวลา ได้แก่คำว่า  now, ago, yesterday, ...

               2. Adverbs  of  place   กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่  ได้แก่คำว่า near, far, in, out, …

              3. Adverbs of  frequency  กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ ได้แก่คำว่า always,   often,  again,      usually,  

                    4. Adverbs  of  Manner  กริยาวิเศษณ์บอกอาการ  ได้แก่คำว่า  well,  slowly, quickly, fast..

                   5.  Adverbs of  Quantity  กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากน้อย ได้แก่คำว่า  Many,  much,  very,  too,   quite…

                   6.  Adverbs  of  affirmation  or  negation กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ ได้แก่คำว่า  yes, no,  not,  not at all…

         2.   Interrogative Adverbs      กริยาวิเศษณ์คำถาม ใช้ขยายกริยาเพื่อให้เป็นคำถาม (ต้องวางไว้หน้าประโยคเสมอแบ่งได้ 6 หมวด คือ

                   1.   บอกเวลา ได้แก่คำว่า When (เมื่อไร),  How long (นานเท่าไร).

                   2.   บอกสถานที่ ได้แก่คำว่า Where  (ที่ไหน).

                   3.   บอกจำนวน ได้แก่คำว่า  How  many  (มากเท่าไร),  How often (กี่ครั้ง)..

                   4.   บอกกริยาอาการ ได้แก่คำว่า  How  (อย่างไร)(ใช้กับ do).                                                        

   5.   บอกปริมาณ ได้แก่คำว่า   How   much (มากเท่าไร).

    6.   บอกเหตุผล ได้แก่คำว่า  Why (ทำไม).

3.Conjunctive Adverbs  กริยาวิเศษณ์สันธาน  ใช้เชื่อมประโยคหน้าและหลังให้สัมพันธ์กัน ได้แก่คำว่า  Why, Where,  When,  How,  Whenever,  While ,  As, Wherever..                                              

          หมายเหตุ  Adverbs   บางคำมีรูปเช่นเดียวกับ  Adj.  แต่การใช้ต่างกัน เช่น fast, hard, low, right,  etc  ซึ่งเราจะสังเกตได้จากการวาง คือ

-       เมื่อวางไว้หน้านาม  หรือหลัง  Verb  to  be  ก็จะเป็น  Adj.

-       ถ้าวางไว้หลังกริยาทั่วๆไป ก็จะเป็น Adverbs.


5.             Adjective คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้บอกลักษะคำนาม ว่ามีรูปร่างหน้าตา หรือลักษณะอย่างไร

Adjective คำคุณศัพท์

Adj.   คือคำที่ใช้บรรยายคุณภาพของนาม (ขยายนาม)  เช่น  Good,  tall,  fat ..etc.

Adj.  เวลานำไปใช้นั้นปรกติมีวิธีใช้อยู่  2  วิธีคือ

1.    เรียงไว้หน้านามที่ Adj. นั้นไปขยายโดยตรงก็ได้  เช่น 

The   fat  man  can’t run  quick. 

 A   clever  boy can answer a difficult problem.

2.    เรียงไว้หลัง  Verb  to  be  ก็ได้  เช่น.

Somsri  is  beautiful.              

My   dog  is  black.

               *  อนึ่งการใช้  Adj.  แบบ 1 และ 2 นั้นเป็นการใช้ Adj.  แบบทั่วๆไป    แต่ยังมี  Adj.  พิเศษหลายตัวที่บังคับว่าจะต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเราจะไม่กล่าวถึง.

ชนิดของ  Adj.

                     Adj.  แบ่งออกเป็น    8  ชนิดคือ.

1.    Descriptive  Adj.   คุณศัพท์บอกลักษณะ(หรือคุณภาพ)  เช่น  Good, fat, tall,  thin,  rich ,etc.

2.    Proper  Adj.  คุณศัพท์บอกชื่อเฉพาะ(บอกสัญชาติ)คือเป็นAdj. ที่มีรูปมาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น Thai  (มาจาก Thailand), English (มาจาก England)…

3.    Quantitative  Adj.  คุณศัพท์บอกปริมาณ(ว่ามากหรือน้อยเท่านั้น)  ได้แก่คำว่า many,  much,  little,  some,  any, all .  เช่น    He  has  many  friend  เขามีเพื่อนมาก.

4.    Numeral  Adj.  คุณศัพท์ที่บอกจำนวน(ว่ามีเท่าไรได้แก่คำว่า One, Two, Three…

5.    Demonstrative Adj.  คุณศัพท์ชี้เฉพาะ(เจาะจงว่าเป็นคนนั้นคนนี้ มิได้หมายถึงคนอื่น)ได้แก่คำว่า  the,  same,  this,  that,  these,  those,  such,  such  a . เช่น He  is  in  the same  room. เขาอยู่ห้องเดียวกัน.

6.    Possessive  Adj.  คุณศัพท์บอกเจ้าของ(มีรูปมาจากบุรุษสรรพนามที่ 3 )แต่เวลาใช้จะต้องมีนามตามหลังด้วยเสมอ  ได้แก่คำว่า  my,  your,  our,   his,  her,  its,  there . เช่น   His  dog  is  white.   สุนัขของเขาสีขาว.

7.    Interrogative  Adj.  คุณศัพท์คำถาม (ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคำถาม ต้องวางไว้หน้านามเสมอ ถ้าไม่มีนามตามหลังมันจะเป็นปฤจฉาสรรพนามได้แก่คำว่า What (อะไร), Which (อันไหน) ,Whose (ของใคร)เช่น  Whose  house  is  that ? นั้นคือบ้านของใคร ? .

8.     Distributive  Adj.  คุณศัพท์แบ่งแยก(ใช้ขยายนามเพื่อแบ่งแยกให้เป็นรายบุคคลหรือรายสิ่งตามที่ผู้พูดต้องการและนามที่ถูกขยายนั้นต้องเป็นเอกพจน์ตลอดไป ได้แก่คำว่า  each,  (แต่ละ),  either (อันใดอันหนึ่งคนใดคนหนึ่ง),  neither (ไม่ทั้งสอง),  every  (ทุกๆ)  เช่น    Either  blank  is  flooded.  แต่ละฝั่งของแม่น้ำถูกน้ำท่วม.


6.             Conjunction คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน

Conjunction คำสันธาน

Conjunction   (คำสันธาน) คือคำที่ใช้เชื่อมประโยคต่อประโยค  คำต่อคำ  หรือระหว่างกริยาต่อกริยา   Conjunction  แบ่งออกเป็น 2  ชนิดคือ

1.               Conjunction   คำเดียว

2.               Conjunction    คำผสมหรือวลี

            Conjunction   คำเดียวที่พบเห็นบ่อย และใช้กันแพร่หลายมีดังนี้    and,  or,  but,  because, so,  as,  for,  whether,  until,  after,  before,  if,  though,  that,  when,  beside   เช่น  He  is  sick so  he  go  to  see  doctor.  เขาไม่สบาย  ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ.

 

Conjunction    วลี หรือคำผสมที่พบเห็นบ่อยๆได้แก่คำต่อไปนี้คือ

           -  Either….or    แปลว่าไม่อันใดก็อันหนึ่ง” ใช้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 คำจะใช้กริยาเป็นรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นขึ้นอยู่กับประธานตัวหลัง  เช่น   Either  he  or  I  am  mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็นผู้ผิด.

            -  Neither…..or   แปลว่า “ไม่ทั้งสอง”  ไว้สำหรับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง(กริยาถือตามประธานตัวหลัง).เช่น  เช่น  Neither   you  nor  he  studies  mathematics.  ทั้งคุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์

            -  As  well  as  แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ"  (กริยาถือตามประธานตัวหน้าเช่น He  as  well  as  I  is  sick  เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย.

            -  Not  only………but  also     แปลว่า  “ ไม่เพียงแต่……..เท่านั้น แต่ยังอีกด้วย”  ใช้เน้นน้ำหนักข้อความทั้งสองให้เด่นชัด  (แต่ต้องมีความหมายทางเดียวกัน)   (แต่ถ้ามีประธาน 2 ตัวใช้กริยาตามประธานตัวหลัง )  เช่น   Malisa is not only  beautiful  but  also  clever.   มาลิสาไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น แต่ยังฉลาดอีกด้วย.


7.             Preposition  คำบุรพบท คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์กันของคำหรือวลีในประโยค


Preposition คำบุพบท

Preposition   (คำบุรพบท)    คือคำที่ใช้เชื่อม  หรือแสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ  เช่น นามต่อนาม,  กริยากับนาม,  กริยากับสรรพนาม  สรรพนามกับนามหรือนามกับสรรพนาม.

Preposition    ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ.

1.   Preposition   คำเดียว      [Single Preposition].

2.   Preposition    วลี      [Preposition  phrase].

Preposition   คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่  44  คำคือ  in,  on,  at,  under,  to,  from,  of,  off,  since,  for,  near,  around,  inside,  outside,  beneath,  towards,  into,  till,  until,  from…to,  with,  without,  by,  up,  down,  after,  before,  beside,  besides,  against,  through,  across,  along,  above,  over,  behind,  below,  underneath,  during,  between,  among,  from…until,  within,  forwards .

Preposition   คำเดียว

การใช้    in,  at,  on    บุรพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้.

             In:     ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือนปีฤดูกาลและส่วนของวัน เช่น  I  like  to  swim  in  the  morning.  ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.

             At  :   ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง  ,  noon,  night,  midnight,  midday,  Christmas,  Easter  เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจง  เช่น  They  want  home  at  three  o’clock,  พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 .

              On  :  ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์  และวันที่  วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา  เช่น  on  Sunday,  On  New  Year’s  Day  , On  King’s  Birthday.  etc.

              On  time    แปลว่า  ตรงเวลาพอดี   (ตรงพอดี). เช่น  He  come  on  time.  เขามาตรงเวลาพอดี.

            In  time    แปลว่า   ทันเวลา  (ก่อนเวลา, ก่อนกำหนด).   เช่น    The  train  arrived  at  the  station  in  time.  รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา).

การใช้ at,  in บุรพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้

            at  :  ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัดแน่นอน  เช่น  at  school,  at  the  hotel….

            in  :  ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น   in  Thailand.  หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้  เช่น   In the house, in  a  country    เป็นต้น.

 

การใช้  During, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้

                     คำทั้ง  3  แปลว่า “ ระหว่าง  แต่ใช้ต่างกันดังนี้

             During:   ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค      เช่น           During   visiting  Thailand,   I  had  seen  the  Emerald  Buddha  Temple.        ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย  ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็นต้น

             Between: ใช้สำหรับครั่นระหว่างของสองอย่าง หรือคนสองคน      เช่น  She  is  standing  between  you  and  me.  หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม  (เมื่อใช้    between     ต้องมี   and   ตามเสมอ).

             Among   : ใช้สำหรับครั่นหรือเชื่อมนาม ที่มีจำนวนตั้งแต่  3  ขึ้นไป   เช่น The  teacher  is standing  among  us  . เป็นต้น   

 

การใช้   in,  on,  by  กับยานพาหนะ

              in  :  ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด  กำบัง  เช่น   in the bus,  in  the  plane…

              on  :  ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่ง แจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น  on a house,   on a  motor-cycle..

              by  :  ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี   Article  นำหน้า  เช่น   by  bus,    by  train

 

การใช้  on,  over,  above  มีหลักดังนี้

                         on  :         ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง.

                         over  :      ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี.

                         above  :   ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ).

  

Preposition    วลี

              Preposition  วลี     คือบุรพบทตั้งแต่  2  ตัวขึ้นไปมารวมอยู่ด้วยกัน  และมีความหมายเสมือนเป็นบุรพบทคำเดียว  แบ่งออกเป็น  2  ชนิด คือ

1.  บุรพบทวลีชนิด  2  ตัว  [ two words Preposition].

2.  บุรพบทวลีชนิด  3  ตัว [three  words Preposition].

 

บุรพบทชนิด  2  ตัว ได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ

according   to  ตาม  ,      instead  of   แทน , แทนที่

because  of      เพราะว่า,     owing to        เนื่องจาก.

 

บุรพบทชนิด  3  ตัวได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ

in  order  to  :   เพื่อที่จะ   ,   by  means  of   : โดยอาศัย

on  account  of   :  เนื่องจาก  ,  in  spite  of   :   ถึงแม้ว่า

in  front  of   : ข้างหน้า  , in  back  of  :  ข้างหลัง

for  the  sake  of  : เพื่อเห็นแก่ , of  the  point  of  :  เกือบจะ

on  the  point  of   : เกือบจะ  ,   in  consequence  of  :  เนื่องจากว่า

 

               *  หมายเหตุ   ในเรื่องการใช้บุรพบทนี้   ยังมี  กริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุรพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย  อย่างเช่น   belong  to  (เป็นของ ) ,  arrive  at  (มาถึงสถานที่เล็กๆ),  ask…. for  (ขอ),  agree  with  (เห็นด้วย ตกลงด้วย),  consist  of  (ประกอบด้วย)  protect  from  (ป้องกันจาก),    believe  in (เชื่อ,มีศรัทธา),  live  on  (กินเป็นอาหาร) ,  make  of  (ทำด้วย), be  afraid of  (กลัว,เกรงกลัว)   เป็นต้น  ซึ่งเราควรค้นคว้าศึกษาไว้ถ้ามีโอกาส.


8.             Interjection คำอุทาน คือคำที่ใช้แสดงความตื่นเต้น ตกใจ เจ็บปวด ความโกรธ

Interjection คำอุทาน

การอุทาน (Interjection = อินเตอร์เจคชั่น) คือคำพูดที่พูดออกไปด้วยอารมณ์ต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น เช่น ดีใจ เสียใจ หรือ โกรธ เป็นต้น

รูปแบบของการอุทาน มี 2 ชนิด คือ

1. การอุทานที่เป็นคำเดียวโดดๆ หรือเป็นกลุ่มคำ (วลี) เช่น

1. ประหลาดใจ

- Oh! (โอ) โอ! ออโอ้โฮ!

- Indeed (อินดีด) จริงๆแท้จริง!

- Wow (เวา) โอ้โฮ!

2. เศร้าใจ

- Alas! (อะแล็ส) = โอยตายจริง!

- Ah! (อา) (อาโอย!

- Alack! (อะแล็ค) อนิจจา!

3. ดีใจ

- Hurrah (ฮูรา) = ไชโย!

- Ha! (ฮา) ฮา!

- Bravo! (บราโว) ไชโย!

4. รังเกียจ

- Ugh! (อุฮ) ทุดถุย!

5. เหยียดหยาม

- Dam! (แด็ม) สมน้ำหน้า!

- Pooh! (พู่) ชึ!

- Bosh! (บ็อช) เหลวไหล!

6. ติเตียน

- Fie! (ไฟ) เชอะถุย!

7. เตือนให้ระวัง

- Hark! (ฮ้าค) ฟัง!

- Hush! (ฮัช) อย่าทำเสียงดัง!

8. เรียกหรือทักทาย

- Ho! (โฮ) ฮ้า!

- Hello (เฮ็ลโล) สวัสดี!

- Hullo (ฮะโล) ฮัลโหล!


คำอุทานที่เป็นกลุ่มคำได้แก่

1. Well done! (เว็ล ดัน) เยี่ยมไปเลย!

2. Just my luck! (จัสท มาย ลัค) โชคของผมแท้ๆ!

3. O dear me! (โอ เดียร์ มี) โอ่ ได้โปรดเถอะ!

2. การอุทานที่ออกมาในรูปแบบของประโยค เช่น ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย What และ How เช่น

1. What a pity! (ว็อท อะ พิททิ)

ช่างน่าสงสารอะไรอย่างนั้น

2. What a mess! (ว็อท อะ เมส)

มันช่างสับสนอะไรอย่างนั้น

3. What a fool he is!(ว็อท อะ ฟูล ฮี อีส)

เขาช่างโง่อะไรอย่างนั้น!

4. What a shame you can’t come!

(ว็อท อะ เชม ยู ค้านท คัม)

ช่างน่าอานอะไรอย่างนั้นที่คุณมาไม่ได้!

5. What an awful noise!

(ว็อท แอน ออฟูล นอยซ)

มันช่างเสียงดังอะไรอย่างนั้น!

6. What a nuisance! (ว็อท อะ นิวซันซ)

มันช่างน่ารำคาญอะไรอย่างนั้น

7. What a shame! (ว็อท อะ เชม)

ช่างน่ายอายอะไรอย่างนั้น!

8. What a pretty girl!

(ว็อท อะ พริททิ เกิล)

เธอช่าน่ารักอะไรอย่างนั้น!

9. What an expensive dress!

(ว็อท แอน อิ๊คซเพนซีฟว เดรส)

ชุดอะไรช่างแพงอย่างนั้น!

10. What a large room!

(ว็อท อะ ลาจ รูม)

ห้องอะไรช่างใหญ่อย่างนั้น!

11. What lovely children! (ว็อท ลัฟลิ ชินเดรน)

ช่างเป็นเด็กที่น่ารักอะไรอย่างนั้น

12. What delicious food it is!

(ว็อท ดิลิซซัส ฟูด อิท อีส)

มันช่างเป็นอาหารที่อร่อยอะไรอย่างนั้น!

13. How nice of you to come!

(ฮาว ไนซ ออฟ ยู ทู คัม)

ช่างดีเหลือเกินที่คุณมาได้!

14. How cold this room is!

(ฮาว โคลด ธิส รูม อีส)

ห้องนี้ช่างหนาวะไรอย่างนั้น!

15. How strong he is!

(ฮาว สตรอง ฮี อีส)

เขาช่างแข็แรงอะไรอย่างนั้น!

16. How quickly the time passes!

(ฮาว ควิคลี่ เธอะ ไทม พาสเสซ)

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วอะไรอย่างนั้น!

17. How heavy it rains!

(ฮาว เฮ็ฟวี่ อิท เรนส)

ฝนช่างตกหนักอะไรอย่างนั้น!

ประโยคอุทาน บางอย่างก็ขึ้นต้นด้วยคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น

1. Away you go! (อะเวย์ ยู โก)

แกออกไปซะ!

2. Here it comes! (เฮีย อิท คัมส)

มานี่แล้วไง

3. There they are! (แธร์ เธย์ อาร์)

พวกเขาอยู่ที่นั่นเอง

4. There goes the bus!

(แธร์ โกส เธอะ บัส)

รถโดยสารไปโน่นแล้ว

นอกจากนี้ประโยคอุทาน ยังใช้เพื่อการอวยพร หรือแสดงความยินดีได้อีกด้วย เช่น

1. Long live the King.

(ลอง ลีฟ เธอะ คิง)

ขอจงทรงพระเจริญ

2. God save you. (กอด เซฟว ยู)

ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ

3. Have a good trip.

(แฮ็ฟ อะ กูด ทริพ)

ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย

4. Best of luck. (เบสท ออฟ ลักค)

ขอให้โชคดี


Interjection

Meaning

Example

ah

expressing pleasure

"Ah, that feels good."

expressing realization

"Ah, now I understand."

expressing resignation

"Ah well, it can't be helped."

expressing surprise

"Ah! I've won!"

alas

expressing grief or pity

"Alas, she's dead now."

dear

expressing pity

"Oh dear! Does it hurt?"

expressing surprise

"Dear me! That's a surprise!"

eh

asking for repetition

"It's hot today." "Eh?" "I said it's hot today."

expressing enquiry

"What do you think of that, eh?"

expressing surprise

"Eh! Really?"

inviting agreement

"Let's go, eh?"

er

expressing hesitation

"Lima is the capital of...er...Peru."

hello, hullo

expressing greeting

"Hello John. How are you today?"

expressing surprise

"Hello! My car's gone!"

hey

calling attention

"Hey! look at that!"

expressing surprise, joy, etc.

"Hey! What a good idea!"

hi

expressing greeting

"Hi! What's new?"

hmm

expressing hesitation, doubt or disagreement

"Hmm. I'm not so sure."

oh, o

expressing surprise

"Oh! You're here!"

expressing pain

"Oh! I've got a toothache."

expressing pleading

"Oh, please say 'yes'!"

ouch

expressing pain

"Ouch! That hurts!"

uh

expressing hesitation

"Uh...I don't know the answer to that."

uh-huh

expressing agreement

"Shall we go?" "Uh-huh."

um, umm

expressing hesitation

"85 divided by 5 is...um...17."

well

expressing surprise

"Well I never!"

introducing a remark

"Well, what did he say?"

wow

expressing wonder

“Wow! She looks gorgeous.”

 

ความคิดเห็น